The Glorious Revolution; a Pivotal Shift in English Politics and the Establishment of Parliamentary Supremacy

The Glorious Revolution; a Pivotal Shift in English Politics and the Establishment of Parliamentary Supremacy

ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของอังกฤษ ยุคสมัยแห่งการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (Glorious Revolution) ปี ค.ศ. 1688 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในโครงสร้างอำนาจทางการเมือง

เหตุการณ์ครั้งนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากความไม่พอใจของชนชั้นสูงและประชาชนที่มีต่อกษัตริย์เจมส์ที่ 2 (James II) ซึ่งเป็นชาวคาทอลิก และพยายามที่จะสถาปนากรุงลอนดอนให้เป็นศูนย์กลางอำนาจทางศาสนา

การมาถึงของพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 (William III) และพระราชินีแมรีที่ 2 (Mary II) ซึ่งเป็นบุตรสาวของเจมส์ที่ 1 (James I) และ adherents of Protestantism, นำไปสู่การลงนามใน “Bill of Rights”

ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่จำกัดอำนาจของกษัตริย์ และยกระดับอำนาจของรัฐสภา

ผลลัพธ์จากการปฏิวัติครั้งนี้ มีอิทธิพลอย่างมากต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในอังกฤษและทั่วโลก

The Life and Legacy of Lord Lawrence: Architect of British India’s Administrative System

Lord Henry Hardinge, 1st Viscount Hardinge (1785–1856) เป็นบุคคลสำคัญผู้หนึ่งที่ได้มีส่วนร่วมอย่างมากในการพัฒนาและปกครองอินเดียในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19

Hardinge เกิดมาในครอบครัวขุนนางอังกฤษ และได้เข้ารับราชการในกองทัพอังกฤษตั้งแต่อายุยังน้อย

หลังจากประสบความสำเร็จในการรบครั้งต่างๆ Hardinge ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการอินเดีย (Governor-General) ในปี ค.ศ. 1844

ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง Hardinge ได้ริเริ่มโครงการปฏิรูปและการปกครองหลายอย่าง

ที่ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาประเทศอินเดีย

Hardinge สนับสนุนการใช้ระบบราชการแบบใหม่

ซึ่งเน้นความโปร่งใส ความมีประสิทธิภาพ และการรวมอำนาจเข้ากับศูนย์กลาง

นอกจากนี้ Hardinge ยังสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น ทางรถไฟและคลอง

เพื่อเชื่อมโยงและพัฒนาเศรษฐกิจของอินเดีย

Hardinge เป็นที่รู้จักในความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์

และความสามารถในการบริหารจัดการ

ผลงานของ Hardinge มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างเสถียรภาพ

และส่งเสริมการพัฒนาของอินเดียในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19

The Legacy of Lord Lawrence’s Administrative Reforms

Hardinge กำหนดทิศทางของการปกครองอินเดียไปในหลายด้าน

  • Centralization:

Hardinge เป็นผู้สนับสนุนการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพมากขึ้น

และลดความยุ่งยากจากการปกครองแบบกระจายอำนาจ

  • Bureaucracy:

Hardinge สร้างระบบราชการที่เป็นมืออาชีพ และมีระเบียบแบบแผน โดยเน้นการคัดเลือกข้าราชการตามความสามารถ และส่งเสริมการฝึกอบรม

  • Infrastructure Development:

Hardinge ให้ความสำคัญต่อการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน

เช่น ทางรถไฟ คลอง และถนน

เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาคต่างๆของอินเดีย และอำนวยความสะดวกในการคมนาคม ส่งเสริมการค้าและเศรษฐกิจ

Lord Lawrence and the Sepoy Mutiny: A Complex Legacy

Hardinge เป็นผู้ว่าราชการในช่วงที่เกิด “Sepoy Mutiny” (กบฏทหารรับจ้าง) ในปี ค.ศ. 1857 เหตุการณ์นี้เป็นการปะทะกันระหว่างชาวอินเดียและอังกฤษ เนื่องจากความไม่พอใจต่อนโยบายของอังกฤษ

Hardinge พยายามควบคุมสถานการณ์ และป้องกันการแพร่กระจายของความรุนแรง

Hardinge สาเหตุของ Sepoy Mutiny ไม่ได้มาจากการละเมิดศาสนาอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่มาจากความไม่พอใจต่อการปกครอง

และความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ

Conclusion:

Lord Hardinge เป็นบุคคลสำคัญผู้หนึ่งที่มีส่วนร่วมอย่างมากในการพัฒนาอินเดียในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19

การปฏิรูปของเขาส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อการปกครอง และเศรษฐกิจของอินเดีย

แม้ว่า Hardinge จะเผชิญกับความท้าทายที่ใหญ่หลวง เช่น Sepoy Mutiny เขาก็สามารถนำพาอินเดียไปสู่ยุคใหม่ ที่มีเสถียรภาพมากขึ้น